This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

A beautiful Start

It begins here. Windows 8 and Windows RT.

Make the #switch

It’s colourful. Fast. Takes amazing photos. And that’s just for starters... So many reasons to fall in love with the new Nokia Lumia. Then make the #switch.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันจันทร์, พฤศจิกายน 29, 2553

Android ยอดขายแซง Symbian แล้วใน Asia

 

Superpad 10.2" Tablet PC, Google Android 2.1, Webcam, GPS, HDMI, USB, WIFI, 2 micro SD card slots

 


เมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งมีข่าวว่า Android กำลังจะเป็นเบอร์ 1 ในตลาด US และตอนนี้มันก็เริ่มจริงขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะตอนนี้ถ้าหันหลับมาดูตลาด Asia เราเองก็จะพบว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว
ตอนนี้ Android จาก Google กลายของของยอดฮิตของคนแถบ Asia ไปแล้วจากการรายงานจาก GfK แตกต่างจาก US ตรงที่ว่าตลาด US นั้น Android ต้องมาสู่กับ iOS, BlackBerry แต่ใรตลาด Asia นั้นต้องมาสู้กกับ Symbian ที่ถือเป็นเบอร์ 1 แบบตัวๆ
รายงานล่าสุดได้บอกไว้ว่าตอนนี้ Android นั้นขายไปได้มากกว่า 4.6 ล้านเครื่องแล้วในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา ในแถบ Asia
ถ้าให้พูดถึงตลาดทั่วโลกตอนนี้ต้องบอกว่า Android ตามที่ข่าวล่าสุดคืออันดับ 2 ด้วยยอดขาย 20.5 ล้านเครื่อง แต่ Symbian มียอดขาย 29.4 ล้านเครื่องในเวลาเดียวกัน ซึ่งผมเองก็คิดว่า Symbian นั้นก็คงจะยืนหยัดเป็นเบอร์ 1 อยู่ได้อีกไม่นาน คิดเหมือนผมไหมละ



ที่มา http://www.mxphone.com/

Sony พัฒนาเกมส์ 3D เล่น 2 คนบนจอเดียว

เป็นกระแสที่มาแรงเหลือหลายจริงๆสำหรับเกมส์ในรูปแบบ 3D ที่ช่วงหลังแพลตฟอร์มคอนโซลยักษ์ใหญ่อย่าง Xbox 360

 



เป็นกระแสที่มาแรงเหลือหลายจริงๆสำหรับเกมส์ในรูปแบบ 3D ที่ช่วงหลังแพลตฟอร์มคอนโซลยักษ์ใหญ่อย่าง Xbox 360 ของ Microsoft และ PlayStation 3 ในฝั่ง Sony ต่างก็ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งและเริ่มต้นทยอยส่งลูกเล่นเทคโนโลยีใหม่ๆออก มานำเสนอให้กับผู้เล่นเกมส์ระดับฮาร์ดคอร์อย่างเราท่านได้ทึ่งกันอยู่ เรื่อยๆ
สำหรับข่าววันนี้เป็นทางฝั่งของ Sony ยักษ์ใหญ่ไฮเทคแห่งโลกโอตาคุที่ได้นำเสนอเทคโนโลยีตัวใหม่ซึ่งจะทำให้ผู้ เล่นเกมส์บนเครื่อง PS3 ทั้งหลายสามารถเล่นเกมส์ได้พร้อมกันถึง 2 คนผ่านระบบจอแยกแบบพิเศษ
โดยความน่าทึ่งของเทคนิคนี้ก็เห็นจะเป็นตรงที่ผู้เล่นแต่ละคนจะมองไม่ เห็นว่าอีกฝั่งหนึ่งของคู่แข่งนั้นทำอะไรกันอยู่เสียด้วย เรียกได้ว่าถึงจะมีจอเดียวแต่ก็สามารถมองเห็นได้พร้อมกันในมุมที่แตกต่างกัน ออกไปโดยไม่จำเป็นต้องตัดแบ่งครึ่งจอแบบเกมส์สมัยก่อนอีกต่อไปนั่นเอง
สำหรับเทคโนโลยีตัวนี้คาดว่าน่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นยอดขายของ PS3 ให้กระเตื้องขึ้นมาสู้กับ Xbox 360 ที่โกยยอดขายกระจุยไปพร้อมกับอุปกรณ์ตัวใหม่อย่าง Kinect นั่นเอง ซึ่งในเวลานี้ Sony มีเกมส์ 3D ของตัวเองที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาถึง 20 เกมส์โดยยังมีเกมส์จากค่ายอื่นๆที่ขอมีเอี่ยวบน PS3 แบบทะลุจออีกกว่า 50 รายการด้วย



ที่มา :  http://www.techxcite.com

Palm (HP) ใหม่ 5 รุ่นเตรียมตัวออกปีหน้า มี PalmPad ด้วย

หลังจากที่ Palm ได้ถูก HP ซื้อไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยเหตุผลหลักๆของ HP ก็คือความต้องการที่อยากจะได้ตัวระบบปฎิบัติการ webOS 2.0


image


webOS 2.0 เพื่อนำมาใช้ในตัวเครื่อง Hardware ใหม่ๆที่กำลังจะออกในอีกไม่นานนี้ โดยเฉพาะเครื่องในสไตล์ แท็บเบล็ตที่ต้องการระบบปฎิบัติการที่แตกต่างจาก แอนดรอยด์ ที่หลายๆเจ้ากำลังใช้ในขณะนี้ ซึ่งในขณะนี้เองก็มีข่าวอย่างไม่เป็นทางการออกมาแล้วครับว่า ในปี 2011 ที่กำลังจะถึงอีกไม่นานนี้ จะมีเครื่องที่ใช้ระบบปฎิบัติการ webOS 2.0 ออกสู่ตลาดอย่างน้อยถึง 5 รุ่นด้วยกัน โดยจะเป็นเครื่องที่เป็นทั้งในรูปแบบ แท็บเบล็ต และ PDA Phone ซึ่งตามข่าวจากทาง CNES.com เองก็ให้ข้อมูลแล้วว่าทาง Foxconn Technology และ Compal Communications ได้เซ็นสัญญาเพื่อผลิตเครื่อง Palm ( HP ) ออกสู่ตลาดในปีหน้านี้ และในจำนวนรุ่นทั้งหมดที่มีมากถึง 5 รุ่นนั้น แน่นอนว่าจะต้องมีเครื่องในรูปแบบ แท็บเบล็ต ออกมาร่วมด้วย โดยชื่อของเครื่องและ Spec ต่างๆนั้นในตอนนี้ยังคงเก็บเป็นความลับอยู่
อย่าง ไรก็ตามหลังจากที่ทาง HP ได้ซื้อ Palm ไปเมื่อหลายเดือนก่อนก็ไม่ได้ให้ข่าวหรือข้อมูลแต่อย่างไรว่าจะเอาไงต่อกับ ทาง Palm ซึ่งตามกระแสข่าวลือก็แว่วมาว่า HP เองอาจจะยังให้ Palm สามารถดำเนินงานแยกตัวออกมา หรืออาจจะควบรวมไปกับ HP แล้วใช้ชื่อเครื่องรุ่นต่างๆภายใต้ แบรนด์ของ HP เอง
สำหรับ ตัวเลขที่ทาง HP ได้จ่ายเงินไปสำหรับการซื้อ Palm เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้นสูงถึง 1.2 พันล้านดอลล่าห์ ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนเงินที่ไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นทาง HP เองก็คงน่าจะเล็งเห็นโอกาสอะไรบางอย่างตามที่ทาง HP เคยบอกเอาไว้ว่าเค้าจะจะทำให้ Palm กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง แต่หากเราลองมองย้อนกลับไปนึกดูดีๆอีกครั้งจะพบว่า จริงแล้ว Palm เองกเอบจะดี แต่ก็ไม่ได้ดี คิดอะไรได้ก่อนแต่ก็พลาดโอกาส ลองดูตัวอย่างเช่น เครื่อง Plam Foleo จริงๆคอนเซ็ปของมันก็คือ Netbook หรือ แท็บเบล็ต ในปัจจุบันนั่นเอง เพราะ Palm มองว่า Foleo คือเครื่องในลักษณะ Mobile Companion ที่เป็นเครื่องเสริมการใช้งานสำหรับมือถือ หรือการทำงานต่างๆในรูปแบบที่คล่องตัวกว่า Notebook แต่พกพาและใช้งานได้สะดวกมากกว่า จอใหญ่ดูสบายตากว่า PDA Phone แต่แล้วโปรเจค Foleo ก็ต้องพับลงไปกลางคัน ก่อนที่ Palm Pre จะเปิดตัว
 
 
ที่มา :   http://www.mrpalm.com/

OPPO Blink blink bloom (U525T)

OPPO Blink blink bloom (U525T) โทรศัพท์มือถือดีไซน์ฝาพับ พร้อมไฟ LED แบบกระพริบ ให้คุณ Blink Blink ไม่มีเอ้าท์ กับการทำงานที่หลากหลาย


Special Features

การแสดงผลหน้าจอหลัก

เปลี่ยนภาพพื้นหลัง, ภาพเมื่อเปิดฝาโทรศัพท์ หรือปรับขนาดตัวอักษรได้ด้วย ตั้งค่า > ตั้งค่าจอแสดงผล นอกจากนี้ OPPO Blink blink bloom (U525T) สามารถเปลี่ยนภาพพื้นหลังให้เข้ากับเทศกาลสำคัญต่างๆ อาทิ สงกรานต์, ฮาโลวีน, ลอยกระทง, คริสต์มาส เป็นต้น ได้โดยอัตโนมัติ

 

ฟังก์ชั่นแบล็คลิส

เลือกรับสาย หรือปฏิเสธสาย และข้อความที่ไม่ต้องการ โดยเลือก ตั้งค่า > ตั้งค่าความปลอดภัย และเพื่อความปลอดภัย สามารถตั้งค่าในการเปิดฝาโทรศัพท์รับสาย โดยเลือกตั้งค่า > ตั้งค่าการโทร

 

พจนานุกรม

เปิดใช้งานพจนานุกรมไทย-อังกฤษ, อังกฤษ-ไทย หรือพจนานุกรมไทย-จีน และจีน-ไทย เพียงเลือก เครื่องมือ > ผู้ช่วยการเรียน โดยสลับการใช้งานไทย-อังกฤษ, อังกฤษ-ไทย หรือ ไทย-จีน และจีน-ไทย ได้ โดยกดปุ่มชาร์ป (#) 1 ครั้ง

 

วิทยุ

เข้าใช้งานวิทยุเพียงเลือก ความสนุก&เกม > วิทยุ โดยใช้ชุดหูฟังเป็นตัวรับสัญญาณ ค้นหาได้ทั้งแบบอัตโนมัติ, ทศนิยม 2 ตำแหน่ง หรือด้วยปุ่มควบคุม 5 ทิศทาง, บันทึกช่องรายการได้ 30 ช่องสถานี สามารถอัดเสียงระหว่างการรับฟังได้ โดยเลือก ตัวเลือก > อัดเสียง, ปรับระดับเสียงด้วยปุ่มปรับระดับเสียงบริเวณด้านข้างขวาของตัวเครื่อง

 

 

เครื่องเล่นเพลง

รับฟังเสียงเพลงที่ชื่นชอบจากปุ่มทางลัดเครื่องเล่นเพลง หรือเลือก เครื่องเล่นเพลง จากหน้าเมนูหลัก สร้างรายการเพลงโปรดได้ 5 รายการ โดยเลือก ตัวเลือก > รายการเพลง > สร้างรายการเพลงใหม่, ตั้งค่าการเล่นแบบซุ่ม, เล่นซ้ำ, ตั้งเวลาในการปิดเครื่องเล่นเพลงอัตโนมัติ (30, 60, 90 นาที และกำหนดเองได้ ), อีควอไลเซอร์ (ปกติ, เบส, แดนซ์, คลาสสิก, ทรีเบิล, ปาร์ตี้, ป๊อป และร๊อค), เปลี่ยนกรอบสกิน (ลักษณะในเครื่องเล่นเพลง) และตั้งค่าการเขย่าเครื่องเพื่อเปลี่ยนเพลง ใน ตัวเลือก > ตั้งค่าการเล่น สามารถเล่นเพลงต่อเนื่องเมื่อออกจากโปรแกรม หรือปิดฝาโทรศัพท์ได้

 

เครื่องเล่นวิดีโอ

รับชมวิดีโอรูปแบบไฟล์ .MPEG4, .3GP และ .AVI ผ่าน ความสนุก&เกม > เครื่องเล่นวิดีโอ กดปุ่มดอกจัน (*) 1 ครั้ง เพื่อรับชมวิดีโอในแนวนอน, รับชมวิดีโอก่อนหน้า - ถัดไป ด้วยปุ่มควบคุม 5 ทิศทาง ซ้าย - ขวา, ปรับระดับเสียงด้วยปุ่มปรับระดับเสียงบริเวณด้านข้างขวาของตัวเครื่อง

 

อัลบั้มภาพ และเครื่องมือแก้ไขภาพ

ดูรูปภาพ พร้อมแก้ไขภาพ ใน ความสนุก&เกม > อัลบัมภาพ, เลือกลักษณะการแสดงภาพได้ 2 รูปแบบ คือ แบบรายการ และแบบตาราง เลือก ตัวเลือก > รูปแบบเมนู, แก้ไขภาพได้ที่คุณต้องการ อาทิ สีอัตโนมัติ, สมดุลสี, ปรับความสว่าง, เพิ่มสี, ปรับเส้นโค้ง, ความคมชัด, บริเวณพร่ามัว, Spotlight, หมุน 90 องศา, หมุนแนวนอน, หมุนแนวตั้ง, ขาวดำ, ซีเปีย, เนกาทีฟ, Cartoon, ภาพสีน้ำมัน, ภาพสีน้ำ เป็นต้น โดยเลือก ภาพที่ต้องการแก้ไข > ตัวเลือก > แก้ไข

กล้องถ่ายรูป

บันทึกถ่ายภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว และภาพสไตล์ LOMO ด้วยกล้องดิจิตอล ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมฟังก์ชั่นตกแต่งรูปภาพที่ให้คุณสนุกไปกับการถ่ายรูปได้ทุกวันหลากหลาย สไตล์

 

คุณสมบัติในการถ่ายภาพนิ่ง
* ขนาดภาพ : 1200 x 1600, 1024 x 1280, 823 x 624, 480 x 640, 240 x 320 พิกเซล
* คุณภาพรูปภาพ : สูง และปกติ
* โหมดกลางคืน : เปิด/ปิด
* โหมดถ่ายภาพ LOMO : Fisheye, Four Images, Soft Focus, Tunnel, Spotlight, Cartoon, Emboss, Mirror, Sketch, Red, Yellow, Blue และGreen
* โหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง : ปกติ, 1, 3, 5 ภาพ และกรอบ
* ตั้งเวลาถ่ายภาพ : 5, 10 วินาที และปิด
* เอฟเฟ็ค : ปกติ, ขาวดำ, ซีเปีย และเนกาทีฟ
* สมดุลแสง : อัตโนมัติ, แสงจ้า, เมฆหนา, นีออน, ทังสเตน
* เสียงกดชัตเตอร์ : มีให้เลือก 3 เสียง และ ปิดเสียง
* ค่าชดเชยแสง : EV -2 ถึง 2

 

คุณสมบัติในการถ่ายภาพเคลื่อนไหว
* ความละเอียด 176 x 144 พิกเซล รูปแบบไฟล์ AVI
* คุณภาพวิดีโอ : สูง และปกติ
* โหมดกลางคืน : เปิด/ปิด
* โหมดจำกัดเวลา 15, 30, 60 วินาที และไม่จำกัดเวลา
* เอฟเฟ็ค : ปกติ, ขาวดำ, ซีเปีย และเนกาทีฟ
* สมดุลแสง : อัตโนมัติ, แสงจ้า, เมฆหนา, นีออน, ทังสเตน
* ค่าชดเชยแสง EV -2 ถึง +2

Sample Photo

 

1    2    กลับไปหน้าที่แล้ว

บทความจาก Siamphone.com

Mobile Phone Catalog Online 

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 28, 2553

ฮาร์ดดิสก์ 24TB แค่เรื่องจิ๊บๆ บนโน้ตบุ๊ก?

ความฝันที่จะได้ใช้งาน Notebook ความจุเยอะๆในอนาคตไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปหลังจากบริษัท Hitachi

 

 

ความฝันที่จะได้ใช้งาน Notebook ความจุเยอะๆในอนาคตไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปหลังจากบริษัท Hitachi และองค์กร New Energy and Industrial Technology Development ได้เผยโฉมเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยให้ฮาร์ดดิสก์มีความจุและสามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 8 เท่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับเทคโนโลยีที่ว่านี้จะช่วยให้การจัดเรียงตัวของวัสดุโพลีเมอร์ซึ่งจะนำมาใช้ใน Harddisk แบบใหม่นี้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นซึ่งจะช่วยให้พื้นที่ 1 นิ้วสามารถเก็บกักข้อมูลได้ถึง 488GB เลยทีเดียว ซึ่งหาก Hitachi นำเทคโนโลยีที่ว่านี้มาใช้งานกับฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบันที่มีความจุอย่างมากแค่ 3TB ก็จะสามารถเพิ่มพื้นที่เข้าไปได้มากยิ่งกว่าเดิมถึง 24TB เลยทีเดียว

ทางด้านของ Hitachi เองเตรียมที่จะนำเสนอเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างเป็นทางการในงานประชุม Material Research Society ในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ ส่วนจะนำเอาไปใช้งานในการผลิตจริงเมื่อไหร่ก็ต้องคอยติดตามกันต่อไปครับ

 

ขอบคุณที่มาโดย                                                                       http://www.techxcite.com/

วันอังคาร, พฤศจิกายน 16, 2553

วิธีใช้โปรแกรม ws ftp ลบไฟล์ทั้งโฟลเดอร์

โดยปกติแล้วถ้าใช้โปรแกรม wsftp อัพไฟล์ มันจะดีมาก แต่ว่าถ้าไม่รู้จักวิธีปรับแต่งให้มันลบไฟล์ได้ จะกลายเป็นข้อด้อยของมันทันที ที่คนใช้จะมองว่ามันเป็นโปรแกรมที่ใช้อัพไฟล์ได้ดี แต่ใช้ลบไฟล์บน ftp ไม่ได้เลย ต้องมานั่งลบไฟล์ในโฟลเดอร์แล้วถึงจะลบโฟลเดอร์ทิ้งได้ ซึ่งเสียเวลามาก มาดูวิธีการปรับแต่งให้ใช้โปรแกรม wsftp กดลบไฟล์ทีเดียวทั้งโฟลเดอร์ได้เลยครับ

 

Posted Image

เข้าไปที่เมนู Tools > Options > General> ติ๊กถูกที่ Allow deletion of non-empty folders แล้วกด OK ก็จะทำให้โปรแกรม Ws FTP ลบไฟล์ทั้งโฟลเดอร์ได้

วันพุธ, พฤศจิกายน 03, 2553

Firefox: ตั้งค่า GMail เป็นดีฟอลต์

ขั้นตอนการเปลี่ยนก็ง่ายนิดเดียว โดยเปิดบราวเซอร์ Firefox แล้วคลิกเมนู Tools เลือกคำสั่ง Options คลิกแท็บ Application จากนั้นมองหารายการชนิดของแอพฯ ที่ระบุว่า "mailto" คลิกรายการดรอปดาวน์ (drop down menu) ทีอยู่ถัดมา รายการที่เลือกไว้ตอนแรก หากไม่ได้มีการแก้ไขอะไรจะเป็น Always ask คลิกเลือกบริการเว็บเมล์ทีต้องการ ซึ่งในที่นี้อาจจะเลือกใช้เป็น Use Gmail แล้วคลิกปุ่ม OK เพียงแค่นี้ ทุกครั้งที่คลิกลิงค์ที่มีการเรียกไคลเอ็นต์เมล์ขึ้นมาทำงาน มันก็จะเข้าไปที่ Gmail แทน ง่ายดีไหมครับ

 

ข่าวเทคโนโลยี

Mobile > Face Time ใน iPhone 4    รีจีสเตอร์ใหม่ทุกครั้งเสียเงินทุกครั้ง FaceTime คือบริการเรียกสายแบบเห็นหน้าค่าตากันด้วยวิดีโอ (video calling service) จากกล้องด้านหน้าบน iPhone 4 โดยการเรียกสายคู่สนทนาในรูปแบบวิดีโอทำให้เห็นหน้ากันได้นั้น เป็นการทำงานผ่านเครือข่าย WiFi ไม่ใช่เครือข่ายมือถือกันอย่างที่หลายคนเข้าใจ   Read more »

Apple > 8 วิธียืดอายุแบตเตอรี่ iPhone ให้ใช้งานได้นานขึ้นกว่าเดิม
หลายคนชอบ iPhone ที่มีแอพพลิเคชันให้เล่นมากมาย แต่ประเด็นที่ผู้ใช้ยังคงรู้สึกมาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็คือ "แบตเตอรี่"ที่หมดเร็วเหลือเกิน ซึ่งความจริง iPhone ไม่ได้ผิดอะไร เพราะมันก็พยายามให้บริการกับผู้ใช้อย่างดีทีสุด ข้อเท็จจริงคือ    Read more »

Apple > สนุกกับทิปง่ายๆ สำหรับผูัใช้ iOS 4 บน iPhone 3GS & iPhone 4
สำหรับทิปแรกจะเป็นการสร้าง และเปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์ เริ่มต้นวิธีสร้างก่อนแล้วกันนะครับ ขั้นแรกให้คุณแตะค้างบนไอคอนของแอพตัวใดก็ได้ รอจนกระทั่งแอพทุกตัวเริ่มสั่นเป็นเจ้าเข้า จากนั้นใช้นิ้วแตะค้างเลือกแอพที่ต้องการรวมกลุ่มเข้าด้วยกันไปวางซ้อนกัน    Read more »

Windows XP


 

 

 

 

นับเป็นวิวัฒนาการใหม่ล่าสุดของ Microsofte นับตั้งแต่ได้มีการออก Windows มาตั้งแต่เวอร์ชั่น Windows 3.x, Windows 95,98 Windows 2000 และ Windows Millennium Edition (Windows Me) ซึ่งแต่ละเวอร์ชั่นก็มีความสามารถแตกต่างกันออกไป การพัฒนาส่วนใหญ่เน้นความสามารถด้าน มัลติมีเดีย และระบบเน็ตเวิร์ค
สำหรับ Windows XP นี้ก็ได้ถือกำหนดใหม่ขึ้นมา โดยนำความสามารถของ Windows รุ่นก่อน ๆ เชน่ 98, Me และ 2000 เข้าด้วยกัน โดยมีรหัสในการเริ่มการพัฒนาว่า "Whistler" จุดเด่นหลักของของ Windows XP นี้ นอกเหนือจากรูปลักษณ์หน้าตาที่สวยงามแล้ว ยังมีคุณสมบัติเด่น ๆ อีก เช่น การใช้งานร่วมกันหลาย ๆ คนในเครื่องเดียวกัน โดยสามารถกำหนดรหัสผ่าน และกำหนดสภาพแวดล้อมที่ต่างกันได้
เวอร์ชั่นของ Windows XP แบ่งได้ 3 ประเภท

  1. Windows XP Home Edition
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ตามบ้าน มีคุณสมบัติเด่น ๆ ด้านระบบมัลติมีเดีย ดูหนังฟังเพลง สามารถต่อเข้าเป็นระบบเครือข่ายภายในบ้านได้ รวมทั้งมีระบบการขอความช่วยเหลือระยะไกลได้
  2. Windows XP Professtional
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ตามสำนักงาน มีคุณสมบัติพื้นฐานเช่นเดียวกับ Home Edition แต่เพิ่มความสามารถในการรักษาความปลอดภัยมากขึ้น
  3. Windows XP 64-Bit Edition
    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความสามารถของคอมพิวเตอร์ในระดับสูง เนื่องจากเวอร์ชั่นนี้ สนับสนุนหน่วยความจำขนาดใหญ่, ออกแบบสำหรับหน่วยประมวลผลในตระกูล intel Itanium (ระดับสูง), ความสามารถในการทำงานข้ามระบบ และอื่นๆ อีกมาก
    เมื่อทราบแล้วว่า เวอร์ชั่นใด เหมาะสมกับคุณ ลำดับต่อไปก็ควรตรวจสอบว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันที่คุณใช้ สามารถทำงานได้ดีกับ Windows XP หรือไม่ ทั้งนี้ คุณคงไม่อยากทำงาน กับเครื่องคอมฯ ที่ทำงานเหมือนเต่าเดินหรอกน่ะครับ..

Windows Vista


Windows Vista February CTP build 5308 desktop, with Sidebar enabled and Aero visual style enabled.

ซึ่งมี่ทั้งหมด 6 Editions ประกอบไปด้วย

  1. Windows Vista Ultimate
  2. Windows Vista Enterprise
  3. Windows Vista Business
  4. Windows Vista Home Premium
  5. Windows Vista Home Basic
  6. Windows Vista Starter

โดยพยายามออก Editions ให้แยกออกจากกันอย่างชัดเจนในจุดประสงค์การใช้งาน ทั้งตลาด Business, Consumers และ Starter pack

โดย Windows Vista Starter นั้นเกาะกลุ่มตลาดผู้ใช้หน้าใหม่ หรือระดับเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งเหมือนกับ Windows XP Starter Edition ที่ใช้โปรแกรมได้พร้อม ๆ กันได้เพียง 3 โปรแกรมในเวลาเดียวกัน (Launch at most three applications at once)

สำหรับ Home users ก็มี Windows Vista Home Basic และ Windows Vista Home Premium โดยที่ Windows Viata Home Basic จะเทียบเท่ากับ Windows XP Home Edition ซึ่งจะมี Internet browsing, e-mail และ ระบบสร้างเอกสารที่จำเป็นต่าง ๆ ซึ่ง Windows Vista Home Basic จะมาพร้อมกับความสามารถใหม่ที่ชื่อว่า Search Explorer, Sidebar และ Parental Controls ส่วน Windows Vista Home Premium หรือเทียบเท่า Windows XP Home edition + Windows XP Media Center Edition มาพร้อมกับ Interface ใหม่ที่ชื่อ Aero และได้ใส่ความสามารถของ Desktop Search, Windows Media Center, Windows PC Tablet Technology, สนับสนุน HDTV และ ใส่ความสามารถของ DVD Burnner

Windows Vista Business และ Windows Vista Enterprise จะมาพร้อมกับ Interface ใหม่ ที่เรียกว่า Windows Aero และระบบ Navigation สำรหับทางด้านจัดการเอกสารทางธุรกิจต่าง ๆ มากมาย รวมถึงได้ใส่ความสามารถของ Desktop Search โดยใน Windows Viata Business นั้นจะเทียบเท่ากับ Windows XP Professional ซึ่งรองรับ Windows Server domains, IIS (Internet Information Services) web server, Windows Tablet PC Technology โดยได้ built-in Handwriting มาพร้อมเช่นกัน และใน Windows Viata Enterprise นั้นมาพร้อมกับการทำงานแบบเดียวกับ Windows Viata Business แต่ได้เพิ่มการจัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูงสุดโดยผ่าน Hardware Encryption Technology, Microsoft’s Virtual PC และ Multilingual user interface (สนับสนุน GUI หลายภาษา)

และในส่วนของ Windows Vista Untimate นั้นถือว่าเป็นระบบปฎิบัติการที่มาพร้อมกับคุณสมบัติทางด้าน Entertainment, Mobility และ Business ที่พร้อมทั้งหมดในตัวเดียว โดยได้เพิ่ม Blogcasting (podcasting + blog), Game performance tweaker (WinSAT), DVD ripping ซึ่งใน Edition นี้เหมาะกับ High-end PC, Gamers, Multimedia Professionals และ PC enthusiasts

โดยทุก ๆ รุ่น ยกเว้น Windows Vista Starter จะออกมารองรับ 2 ทั้งระบบ CPU 32-bit และ CPU 64-bit แต่ใน Windows Vista Starter ที่มีเพียงระบบ CPU 32-bit เท่านั้น

ซึ่ง Windows Viata Home Basic/Premium , Utimate และ Business จะมาพร้อมกับ Package Retail (กล่อง) และเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ (OEM) และสำหรับ Windows Vista Enterprise นั้นจะจำหน่ายให้กับลูกค้าระดับธุรกิจองค์กรเท่านั้น โดยต้องเป็นลูกค้าที่ซื้อในลักษณะ Software Assurance program ของ Microsoft เท่านั้น


การ Flip แบบ Real time ซึ่งเห็นหน้าการทำงานในแต่ละโปรแกรม


การ Flip 3D แบบ Real time ซึ่งเห็นหน้าการทำงานในแต่ละโปรแกรม โดยใช้ scroll wheel บน Mouse


Thumbnail views จากบน taskbar

System hardware requirements

  • ใน Windows Vista รองรับ Extensible Firmware Interface (EFI)
  • CPU: x86-compatible 32-bit or x64-compatible 64-bit microprocessor(s) (สนับสนุน Dual Core)
  • Motherboard: รองรับ  ACPI-compatible firmware (หรือ Extensible Firmware Interface (EFI))
  • Memory:  ตั้งแต่ 512 megabytes (แนะนำที่ 1GB)
  • Graphics Card: รองรับ DirectX 9 และสำหรับ GPU ต้องสนับสนุน Windows Vista Display Driver Model (WVDDM) โดยขนาด  VRAM ตั้งแต่ 64 megabytes (แนะนำที่ 128MB, AGP 8X หรือ PCI Express x16 bus)
  • Hard Drive space:  ขั้นต่ำ 1.5 gigabytes สำหรับติดตั้งและมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามองค์ประกอบที่ติดตั้งเพิ่มเข้าไปตามแต่รุ่นของ Windows Vista และ speed ที่ 7200 RPM และ cache ขนาด 2 MB
  • Display: รองรับระบบ Copy-restricted high-definition digital content ซึ่งเป็น next-generation HD DVD และสามารถรองรับขนาด resolution ของ DVD quality โดยจะแสดงผลผ่าน Monitor ที่สนับสนุน High-Bandwidth Digital Content Protection (HDCP)

Graphics hardware requirements

Aero Glass

  • Graphics memory ขนาด 64 MB สำหรับ Resolution 1024×768 และ 128 MB สำหรับ 1600×1200 ขึ้นไป
  • รองรับ 32 bits per pixel
  • ต้องมี 3D hardware acceleration ที่สนับสนุน DirectX 9.0c
  • Memory bandwidth ขั้นต่ำ 2 GB/s และจนถึง 8 GB/s
  • อัตราการวาดภาพประมาณ 1.5 M triangles/s และสำหรับ windows 1 หน้าต่าง เริ่มต้องที่ประมาณ ~150 triangles/s
  • Graphics card ต้องใช้  AGP 8X หรือ PCI Express x16 bus
  • รองรับ Windows Vista Display Driver Model (WVDDM) Drivers
  • ณ.วันที่ 1 มีนาคม 2006  Graphic card ที่สนับสนุน คือ ATI Radeon 9800 Pro และ nVidia GeForce FX 5900 ที่สนับสนุน และคาดว่า Graphic card ตระกูล nVidia FX ขึ้นไป และ  ATI Radeon 9500 ขึ้นไป ถึงจะสามารถใช้ความสามารถนี้ได้

Windows Classic

  • รองรับ Windows XP Display Driver Model (XPDM) หรือ WVDDM drivers
  • รองรับ Graphics card ที่ใช้กับ Windows 2000 ก็สามารถใช้กับ Mode นี้ได้
  • ใน build 5270 Luna visual style (Theme ใน Windows XP) ไม่มีใน Windows Vista

อ้างอิงจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/Windows_Vista
http://www.microsoft.com

http://www.microsoft.com/windowsvista/versions/default.mspx

Windows 7


กลับมาอีกครั้งกับบทบาทของ Windows 7
บทความนี้อาจจะเป็นบทความต่อยอดจากเดิมก็ว่าได้เพราะบทความที่แล้วคือการเรียนรู้เบื้องต้นเท่านั้น


และต่อจากนี้เราก็จะมาทำความรู้จักกันมากขึ้นครับ
Windows 7 รุ่น Beta หรือที่เรียกกันว่า Build 7077 นั้นหลุดออกมาในไม่กี่วันที่ผ่านมา ช่วงปลายสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม สตีฟ บัลเมอร์ ซีอีโอของไมโครซอฟท์ได้ประกาศเปิดตัว Windows 7 รุ่น Beta อย่างเป็นทางการ และเปิดให้คนทั่วไปที่สนใจสามารถดาวน์โหลดมาทดสอบได้


ก่อนจะเล่าว่า Windows 7 มีอะไรใหม่ ผมขอแยกส่วนต่างๆ ของระบบปฏิบัติการออกมาเป็น 3 ชั้นดังนี้

  1. ส่วนที่เป็นระบบปฏิบัติการตามหลักวิชาจริงๆ นั่นคือเชื่อมต่อระหว่างฮาร์ดแวร์กับแอพพลิเคชั่น
  2. ส่วนที่ติดต่อกับผู้ใช้ ถ้าเรียกตามตำราวิชาระบบปฏิบัติการ จะใช้คำว่า Shell ของระบบ
  3. แอพพลิเคชั่นพื้นฐานที่แถมมากับตัวระบบปฏิบัติการเลย ไม่ต้องติดตั้งเพิ่มเติม
Windows 7 นั้นพัฒนามาจาก Vista โดยแทบไม่มีเปลี่ยนสำคัญอะไรในส่วนที่ 1 ซึ่งเป็นโครงสร้างและสถาปัตยกรรมของระบบเลย ไม่ว่าจะเป็นระบบไดรเวอร์, ระบบเอฟเฟคต์หน้าต่าง Aero, วิธีการรักษาความปลอดภัยด้วย User Account Control ฯลฯ ของใหม่เป็นการสนับสนุนฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม และพัฒนาด้านประสิทธิภาพให้ดีกว่า Vista โดยรีวิวของ PC Pro และ ZDNet นั้นบอกว่า Windows 7 เร็วขึ้นกว่า Vista หรือแม้กระทั่ง Windows XP อยู่ประมาณ 10-20% ในการทดสอบบางด้าน แต่โดยรวมสรุปแล้วว่าแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนจาก Vista อย่างสังเกตได้
สำหรับส่วนที่ 3 นั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ ถอดโปรแกรมคุ้นหน้าคุ้นตาหลายตัวออกจากตัว Windows แล้วจับไปรวมอยู่ในชุด Windows Live Essential ที่ต้องดาวน์โหลดแยกแทน โปรแกรมในกลุ่มนี้ได้แก่ Windows Photo Gallery, Windows Movie Maker, Windows Mail, Windows Calendar เป็นต้น ซึ่งถูกแทนที่ด้วยโปรแกรมชื่อเดียวกันแต่มีคำว่า Live เพิ่มมาตรงหลังคำว่า Windows แทน (ยกเว้นโปรแกรม Windows Calendar ที่ถูกรวมเข้ากับ Mail) ในประเด็นนี้ไว้จะพูดถึงอีกครั้งในภายหลัง
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดของ Windows 7 คือส่วนที่ 2 ซึ่งใกล้ชิดกับผู้ใช้มากที่สุด แถมคราวนี้ยังเปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยด้วย
Taskbar อันใหม่
ใน Vista นั้น จุดหลักๆ ที่เปลี่ยนจาก XP คือ
  • Start Menu ที่เปลี่ยนมาเป็นกรอบเดียวแทน แล้วใช้ scrollbar แทนการแยกเมนูย่อยลอย และเน้นการเรียกโปรแกรมด้วยการ Search มากขึ้น
  • เอาเมนูออกไปจากหน้าต่างของโปรแกรมสำคัญๆ เช่น Windows Explorer แล้วหันมาใช้ปุ่มสั่งงาน ผสมกับเมนูย่อยในบางจุดแทรกไว้ในปุ่ม
  • เปลี่ยนมาใช้สไตล์หน้าต่างแบบ Aero Glass กึ่งโปร่งใส แทนหน้าต่างสีเทาแบบ XP

ส่วน Windows 7 นั้นพัฒนาต่อจาก Vista โดยยังคงสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใน Vista ตามรายการข้างต้นทั้งหมดไม่เปลี่ยนไปไหน แต่เพิ่ม Taskbar แบบใหม่ที่เปลี่ยนวิธีคิดของการสลับงานที่เราทำ (หรือหน้าต่าง) ไปจากระบบ Taskbar แบบเดิมที่ใช้มาตั้งแต่สมัย Windows 95 หน้าตาของมันเป็นไปตามรูป

 

(ผมพบว่าการอธิบาย Taskbar แบบใหม่ด้วยตัวหนังสือ + ภาพ มันยากเหมือนกันแต่จะลองพยายามนะครับ ถ้านึกตามไม่ออกและขี้เกียจหา Windows 7 มาทดสอบ ก็ลองหาวิดีโอใน YouTube ดูมีเยอะเลย)
สิ่งที่เปลี่ยนไปใน Taskbar แบบใหม่

  • เอาตัวหนังสือออก มีแต่ไอคอน
  • รวมเอา Quick Launch กับตัว Taskbar เข้ามาด้วยกัน
  • โปรแกรมที่เปิดอยู่ จะมีกรอบสี่เหลี่ยมล้อมรอบ
  • โปรแกรมที่เปิดอยู่หลายหน้าต่าง จะมีกรอบสี่เหลี่ยมซ้อนกันให้เห็นว่าเป็นกอง (สูงสุด 3 กรอบ ในภาพมี 2 ตรงไอคอน IE)
  • โปรแกรมที่ถูกปิดจะหายไปจาก Taskbar แต่เราสามารถ Pin หรือปักหมุดโปรแกรมที่ใช้บ่อยๆ ไว้ได้เหมือนกับ Quick Launch หรือ Dock ของ Mac OS X

อ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนคงเริ่มนึกว่ามันเหมือนกับ Dock ของ Mac OS X แต่ว่าเอาจริงแล้วมันจะมีความต่างกันในหลายจุดซึ่งผมจะค่อยๆ อธิบายไปทีละจุดนะครับ
เวลาเอาเมาส์ไปชี้บนโปรแกรมที่เปิดอยู่ จะมีไฮไลท์สีต่างๆ ซึ่งต่างกันไปตามแต่ละโปรแกรม เท่าที่เปิดมา 6-7 โปรแกรมยังไม่เจอสีซ้ำกัน ส่วนกรณีที่โปรแกรมยังไม่ได้เปิดอยู่ จะแสดงเป็นจุดสีขาวด้านล่างใต้ไอคอน

 


เมื่อเอาเมาส์ไปชี้ จะแสดงรีวิวของหน้าต่างที่เปิดอยู่ อันนี้เหมือนของ Vista

Aero Peek
แต่พอเปิดหลายๆ หน้าต่างจะเริ่มไม่เหมือนแล้ว คือจะแสดงพรีวิวของหน้าต่างทุกอันที่เปิดอยู่ (ถ้ามีหลายอันมากๆ มันจะกลายเป็นลิสต์แทน)

 

ความแตกต่างที่สำคัญคือฟีเจอร์ Aero Peek แสดงเป็นภาพลำบาก คือใน Windows 7 นั้น แค่เราเอาเมาส์ไปวาง (hover) บนภาพพรีวิวของหน้าต่างโดยไม่ต้องคลิก หน้าต่างอันนั้นจะถูกแสดงขึ้นมาบนหน้าจอทันทีโดยไม่สนใจว่าหน้าต่างนั้นจะ ถูกบังอยู่หรือไม่ จะต่างจากวินโดวส์รุ่นก่อนๆ ที่ต้องคลิกก่อนเพื่อสลับหน้าต่าง

 

แต่โปรแกรมที่แสดงศักยภาพของ Peek ได้ดีที่สุดคือ IE8 ครับ โดยจะแสดงรีวิวของแท็บ (ไม่ใช่หน้าต่าง) ใน Peek

  • ตามตัวอย่างในภาพนี้ ผมเปิด IE8 อยู่เพียงหน้าต่างเดียว แต่ในหน้าต่างนั้นมี 2 แท็บ ซึ่งเวลาเอาเมาส์ไปชี้ที่ไอคอนของ IE8 มันกลับจะแสดงรีวิวของเว็บเพจทั้งหมดที่เปิดอยู่ (โดยไม่สนใจว่าอยู่ในแท็บไหน) ต่างจาก Firefox ที่จะแสดงรีวิวของหน้าต่างเท่านั้น (โดยไม่สนใจว่าหน้าต่างมีกี่แท็บ)

ฟีเจอร์นี้ของ IE8 นับว่ามีประโยชน์มาก (และเชื่อว่าเว็บเบราว์เซอร์อื่นๆ จะทำตามในอีกไม่นาน) เพราะจะเป็นการลดความสับสนของการสลับงานตามหน้าต่าง (ซึ่งเป็นหน้าที่ของ Taskbar/Peek) กับการสลับแท็บ (ซึ่งเป็นหน้าที่ของเบราว์เซอร์) มารวมเป็นการสลับงานทั้งหมดด้วย Peek เพียงที่เดียว
นอกจากการ Peek ดูหน้าต่างของโปรแกรมแล้ว เรายังสามารถ peek เพื่อดูเดสก์ท็อปได้โดยการเอาเมาส์ไปวางไว้บนสี่เหลี่ยมว่างๆ ด้านขวาสุดของ Taskbar ก็จะเป็นการ “แอบดู” เดสก์ท็อป พฤติกรรมจะคล้ายๆ กับ Expose ของแมค แต่ว่าจริงๆ แล้วมันคือปุ่ม Show Desktop เดิม ซึ่งน่าจะพอนึกภาพออกว่าถ้าผมกดปุ่มใสๆ นี้ก็จะเป็นการย่อหน้าต่างทุกอันลงไปแบบถาวร ไม่ใช่การ peek อีกแล้ว

 

System Tray
ในภาพนี้ยังแสดงส่วนของ System Tray แบบใหม่เช่นกัน โดยไอคอนบน System Tray จะถูกจำกัดให้แสดงเฉพาะอันสำคัญๆ เท่านั้น เช่น สถานะของเครือข่าย ปุ่มสลับภาษา เสียง (ในภาพไม่แสดงเพราะหาไดรเวอร์ไม่เจอ) และ “Actions” (หรือ Security Center เดิม ซึ่งจะกล่าวต่อไป) ไอคอนอื่นๆ จะถูกแสดงย่อไว้ในรายการเมนูที่ต้องกดแล้วถึงจะแสดง ทำให้ System Tray หายรกไปมาก (สามารถตั้งค่าให้ใช้ System Tray แบบเดิมที่แสดงทุกอย่างได้)

 

หน้าจอตั้งค่าของไอคอนแต่ละอันใน Tray

จุดนี้จะแสดงให้เห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของไมโครซอฟท์ต่อ Taskbar แบบใหม่ ว่าจริงๆ แล้วไมโครซอฟท์ไม่ได้ต้องการจะรวมเอา Quick Launch กับ Taskbar มาไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเท่านั้น ยังต้องการจะรวมเอา System Tray เข้ามาไว้ด้วยกันด้วย

 


เมนู Quick Launch หายไปแล้ว

ไมโครซอฟท์บอกว่าปัญหา System Tray รกนั้นเกิดจากว่าโปรแกรมไม่มีที่สำหรับแสดงข้อความเตือน (notification) ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโปรแกรม หรือแสดงรายการคำสั่งที่ใช้บ่อยๆ ไว้ใน Taskbar แบบเดิมได้ จึงต้องใช้วิธีสร้างไอคอนใน System Tray แทน พอทำกันทุกโปรแกรมแล้วทำให้มันรกในที่สุด
Jump List
แต่ Taskbar แบบใหม่นั้นจะมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Jump List ซึ่งจะเห็นเมื่อเราคลิกขวาบนไอคอนของโปรแกรมบน Taskbar ตามภาพนี้เป็นของ Windows Live Messenger 2009 จะเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ใช้บ่อยๆ ของโปรแกรม

 

โปรแกรม Windows Live Messenger นี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ Taskbar แบบใหม่ โดย WLM 2009 จะไม่มีไอคอนใน System Tray อีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างจะมารวมไว้บนไอคอนเดียวใน Taskbar แทน จากภาพจะเห็นว่ามีไอคอนสถานะถูกใส่เข้ามาทับบนไอคอนของ WLM 2009 ด้วยเช่นเดียวกับไอคอนใน System Tray ที่เราคุ้นเคย
กล่าวโดยสรุป เป้าหมายของไมโครซอฟท์กับ Taskbar แบบใหม่คือ โปรแกรมที่ใช้งานบ่อยๆ จะมีที่อยู่บน Taskbar เป็นไอคอนเพียงอันเดียว โดยไม่สนใจว่าจะเปิดอยู่หรือไม่ เปิดอยู่กี่หน้าต่าง มีสถานะอะไร มีคำสั่งลัดหรือไม่ ทุกอย่างจะรวมอยู่บนไอคอนอันนี้เพียงอันเดียว ส่วนของ System Tray ที่ยังคงไว้นั้นเพื่อรองรับโปรแกรมเก่าๆ ที่ยังไม่สนับสนุนแนวคิดนี้เท่านั้น (อย่างเช่น G talk เป็นต้น) ผมเชื่อว่าแนวคิดรวมไอคอนอันนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับลักษณะการใช้งานโปรแกรม ที่เริ่มต้องการหน้าต่างเป็นจำนวนมากมากขึ้น (เช่น เว็บเบราว์เซอร์หรือหน้าต่าง IE) จน Taskbar แบบเดิมไม่สามารถรองรับหน้าต่างจำนวนเยอะขนาดนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากพอ
ข้อเสียของ Taskbar แบบนี้คือการตัดข้อความแสดงชื่อโปรแกรมออกไป อาจทำให้เราดูข้อมูลบางอย่างได้ลำบากขึ้น เช่น เปอร์เซ็นต์การดาวน์โหลด (IE8 มีวิธีแก้ไข ดูด้านล่าง) หรืออย่างหน้าต่าง Chat ของ Gmail ที่จะเปลี่ยนหัว Title Bar เมื่อมีคนทักเข้ามา ก็จะไม่ถูกเห็นใน Taskbar ระบบใหม่นี้

 


ฟีเจอร์ปลีกย่อยอื่นๆ ของ Taskbar คือเราสามารถย้ายตำแหน่งของโปรแกรมใน Taskbar ได้แล้ว

 


สำหรับ IE8 นั้นจะแสดงสถานะ การดาวน์โหลดใน Taskbar ด้วย อันนี้ก็สะดวกดี

ถึงแม้จะมี Peek เพิ่มเข้ามา แต่ฟีเจอร์เดิม (ที่ไม่ค่อยมีใครใช้) อย่าง Flip 3D ก็ยังคงอยู่ครับ

สรุป
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ Windows 7 คือการจัดการกับโปรแกรมและหน้าต่าง ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญของวินโดวส์และเราต้องอยู่กับมันแทบจะตลอดเวลา งานเหล่านี้ได้แก่ ดูว่ามีโปรแกรมอะไรเปิดอยู่บ้าง สลับหน้าต่าง เรียกโปรแกรม ดูสถานะ ขยับขยายปรับขนาดหน้าต่างที่เปิดอยู่ ฯลฯ ซึ่งผมได้พยายามอธิบายให้เห็นในรีวิวตอนนี้ไปแล้ว (ถ้ายังไม่เข้าใจ รบกวนต้องลองหาวิดีโอดูประกอบกันเองนะครับ)
ในตอนหน้าจะพูดถึงส่วนอื่นๆ ที่เหลือของ Windows 7 ที่ไม่ใช่ Taskbar และการสลับหน้าต่าง

วันอังคาร, พฤศจิกายน 02, 2553

Apple > สนุกกับทิปง่ายๆ สำหรับผูัใช้ iOS 4 บน iPhone 3GS & iPhone 4

สร้างและเปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์ (Folder)

สำหรับทิปแรกจะเป็นการสร้าง และเปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์ เริ่มต้นวิธีสร้างก่อนแล้วกันนะครับ ขั้นแรกให้คุณแตะค้างบนไอคอนของแอพตัวใดก็ได้ รอจนกระทั่งแอพทุกตัวเริ่มสั่นเป็นเจ้าเข้า จากนั้นใช้นิ้วแตะค้างเลือกแอพที่ต้องการรวมกลุ่มเข้าด้วยกันไปวางซ้อนกัน iOS 4 จะเข้าใจทันทีว่า คุณต้องการสร้างโฟลเดอร์ โดยระบบจะตั้งชื่อโฟลเดอร์ให้โดยอัตโนมัติ จากนั้นลากไอคอนของแอพฯที่ต้องการใส่เข้าไปในโฟลเดอร์จนครบ ก็เป็นอันเรียบร้อยง่ายดีไหมครับ

คราวนี้หากคุณไม่ชอบชื่อที่มันตั้งให้ ก็สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ไม่ยากครับ ขั้นแรกแตะโฟลเดอร์ที่ต้องการจะเปลียนชื่อ จากนั้นใช้นิ้วแตะค้างบนไอคอนของแอพฯใดๆ ในโฟลเดอร์จนกระทั่งทุกไอคอนสั่นเป็นเจ้าเข้า (เอาอีกแล้ว) สังเกตว่า ใต้โฟลเดอร์จะปรากฎเท็กซ์บ๊อกซ์ให้คุณเปลี่ยนชื่อขึ้นมาแล้ว ว้าว...ง่ายจริงๆ

ปิดแอพฯที่รายการมัลติทาสกิ้ง (Multitasking)

คุณผู้อ่านที่เพิ่งใช้ iOS 4 บน iPhone 3GS อาจจะไม่ทราบว่า ทุกครั้งที่คุณปิดแอพที่ใช้งาน มันไม่ได้เป็นการปิดโปรแกรมจริงๆ แต่จะค้างอยู่ใน switching task list ที่ทำให้คุณสามารถสลับการทำงานของแอพที่เปิดไว้ก่อนหน้านี้ได้ โดยไม่ต้องโหลดขึ้นมาใหม่ โดยคุณสามารถเห็นรายการของแอพที่เปิดไว้แล้วได้ด้วยการดับเบิ้ลคลิกปุ่ม Home ของ iPhone 3GS สำหรับการปิดแอพฯเหล่านี้ ให้ใช้นิ้วแตะค้างบนไอคอนที่ปรากฎจนสั่นหมดทุกตัว จากนั้นสังเกตว่า มันจะมีวงกลมสีแดงที่ตรงกลางมีเครื่องหมาย - ปรากฎอยู่ ใช้นิ้วแตะที่วงกลมของแต่ละแอพ ก็จะเป็นการปิดการทำงานอย่างสมบูรณ์ ลองทำดูนะครับ 

ล็อคการแสดงผลบนหน้าจอ (Portrait Lock)

ในกรณีทีคุณกำลังอ่านอีบุ๊ค หรือหน้าเว็บ แล้วรู้สึกรำคาญเวลาที่เผลอจับ iPhoen 3GS เอียงไปมา แล้วการแสดงผลบนหน้าจอมันปรับเปลียนไปแสดงผลในแนวนอน (Landscape) โดยอัตโนมัติ ซึ่งใน iOS 4 คุณสามารถล็อค (Lock) ไม่ให้หน้าจอหมุนกลิ้งไปมาให้รำคาญใจได้เรียกว่า Portrait Lock วิธีการก็แสนง่ายดาย เพียงแค่ดับเบิ้ลคลิกปุ่ม Home แล้วใช้นิ้วเลื่อนบริเวณด้านล่างของหน้าจอไปทางขวาจนเห็นไอคอน iPod สีส้มๆ จากนั้นใช้นิ้วแตะที่ไอคอนล็อคที่มีรูปร่างเป็นเครื่องหมายลูกศรโค้งเป็นวงกลม (อยู่ซ้ายสุด) จะสังเกตเห็ตแม่กุญแจโผล่ขึ้นมาตรงกลาง เพียงแค่นี้ หน้าจอก็จะไม่หมุนตามมือคุณอีกแล้ว วิธีปลดล็อคก็ทำเหมือนเดิม แค่แตะซ้ำบนไอคอนให้แม่กุญแจหายไปก็เสร็จแล้ว

Apple > 8 วิธียืดอายุแบตเตอรี่ iPhone ให้ใช้งานได้นานขึ้นกว่าเดิม

หลายคนชอบ iPhone ที่มีแอพพลิเคชันให้เล่นมากมาย แต่ประเด็นที่ผู้ใช้ยังคงรู้สึกมาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็คือ "แบตเตอรี่"ที่หมดเร็วเหลือเกิน ซึ่งความจริง iPhone ไม่ได้ผิดอะไร เพราะมันก็พยายามให้บริการกับผู้ใช้อย่างดีทีสุด ข้อเท็จจริงคือ ผู้ใช้สามารถจัดการการใช้พลังงานแบตฯของ iPhone ให้ได้นานขึ้น เหมือนกับที่เราคอนฟิกระบบจัดการพลังงานบนโน้ตบุ๊คยังไงยังงั้นเราไปติดตามกันดูเลยครับว่า 8 วิธีประหยัดแบตฯ iPhone ให้ใช้ได้นานขึ้นนั้น มีอะไรบ้าง?

ปิดคุณสมบัติการแจ้งเตือน ทราบไหมครับว่า ระบบแจ้งเตือน (push notification) ที่เปิดให้แอพฯ ต่างๆ ได้มีโอกาสอัพเดตข้อมูลไปจนถึงตัวโปรแกรมเอง Notification เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ใช้พลังงานแบตฯมิใช่น้อย หากไม่จำเป็นต้องใช้ก็ปิดไปก่อนดีกว่า ผู้พัฒนาแอพฯส่วนใหญ่จะเขียนโปรแกรมให้ใช้คุณสมบัตินี้ ซึ่งในกรณีทีมีแอพฯหลายตัวอยู่ใน notification แบตเตอรี่ก็จะถูกใช้มากตามไปด้วย เนื่องจากทุกครั้งทีมีกระตุ้นเตือน ระบบจะต้องมีการเชื่อมต่อไร้สาย (Wi-Fi, 3G, Edge, etc.) ไปยังเว็บไซต์ของแอพฯ เหล่านั้น

ปิด push e-mail หากคุณไม่ได้กำลังรออีเมล์ด่วนจากใคร แบบมาปุ๊บต้องเปิดอ่านทันที ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดการทำงานของ push e-mail เพราะเพียงแค่แตะไอคอน e-mail ที่ดีฟอลต์การทำงานของโปรแกรม มันก็จะตรวจเช็คทุกอินบ๊อกซ์ (All Inboxes) ให้โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว สะดวกง่ายดาย ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้  

ปิดการใช้สัญญาณวิทยุทุกประเภทที่ไม่ได้ใช้ ผู้ใช้บางท่านไม่ทราบว่า เราสามารถปิด (disable) การทำงานของ 3G ได้ ซึ่งมันจะช่วยให้คุณสำรองแบตเตอรี่ไว้ใช้ได้นานขึ้น และหากต้องการประหยัดพลังงานมากกว่านี้อีกก็ปิด Wi-Fi, Bluetooth และ GPS เนื่องจากการค้นหาสัญญาณวิทยุเหล่านี้จะเป็นการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ของ iPhone มากทีเดียว หากคุณต้องการเล่นเกมส์ อ่านอีบุ๊ค ฟังเพลง หรือดูคลิปวิดีโอที่อยู่ในเครื่องได้นานขึ้นขณะเดินทางไกล ลองปิดการทำงานของคุณสมบัติเหล่านี้ดูนะครับ 

ปิดการทำงานในแบคกราวด์ (background tasks) สำหรับผู้ใช้ iOS 4 ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติ multitasking การเปิดแอพฯค้างไว้ในเครื่องหลายๆ ตัวโดยไม่ปิด เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แบตเตอรี่ของคุณหมดเร็ว โดยเฉพาะแอพฯที่มีการติดต่อกับเน็ต อย่างเช่น Skype ซึ่งผู้ใช้จะต้องเสียพลังงานแบตฯมากมายหากต้องรอคอย ขั้นตอนการปิดก็แค่ดับเบิ้ลคลิกปุ่ม Home รายการแอพฯที่รันค้างจะปรากฎขึ้นด้านล่าง ใช้นิ้วจิ้มค้างไว้จนวงกลมสีแดงปรากฎขึ้นมาที่มุมบนซ้ายของไอคอน ให้ใช้นิ้วแตะเพื่อปิดพวกมันไปซะ แค่นี้ก็เรียบร้อย

ตั้งค่าความสว่างของหน้าจอเป็นแบบปรับอัตโนมัติ การลดความสว่างของหน้าจอช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้มากทีเดียว แต่มันก็ดูขัดกับความต้องการผู้ใช้ เพราะหลายคนชื่นชอบหน้าจอ iPhone ตรงที่มันสว่างสดใสนั่นเอง ดังนั้นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าก็คือ การปรับแสงสว่างโดยอัตโนมัติ ซึ่ง iPhone จะสามารถปรับความสว่างของหน้าจอเทียบกับแสงสว่างของสิ่งแวดล้อมให้โดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะการใช้งานใน หรือนอกสถานที่ที่มีแสงสว่างแตกต่างกันพอสมควร เพราะมันไม่จำเป็นเลยที่จอ iPhone ของคุณต้องสว่างตลอดเวลา

ปิดการตอบสนองของเกมส์ที่ใช้ force feedback เกมส์แอคชั่นหลายๆ เกมส์จะใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติการสั่น (vibrate feature) ในการจำลองความรู้สึกโต้ตอบที่เกิดขึ้นในเกมส์ ซึ่งโดยกลไกการทำงานลักษณะดังกล่าว จะต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่มาก สำหรับการขับให้มอเตอร์ลูกเบี้ยวทำงานนั่นเอง 

หาตัวช่วยอย่างปลอกสำรองแบตฯ (battery back-up case) แม้ปลอกใส่ iPhone พวกนี้จะทำให้มือถือของคุณหนาขึ้น แต่กับระยะเวลาในการใช้งานที่นานขึ้นเป็น 2 เท่ามันก็คุ้มค่าดีนะครับ

ซิงค์ iPhone อย่างสม่ำเสมอ แม้คุณจะไม่ค่อยเปลียนแปลง Playlists หรือติดตั้งแอพฯใหม่ๆ บ่อยนัก การซิงค์ iPhone กับ PC อย่างสม่ำเสมอจะทำให้คุณได้ใช้ OS และเฟิร์มแวร์รุ่นล่าสุด เนื่องจากอัพเดตของ Apple มักจะมีการพัฒนาประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานของแบตเตอรี่ด้วย

หวังว่า ทิปเล็กๆ ที่ช่วยประหยัดพลังงานแบตฯ iPhone ให้ใช้ได้นานขึ้นนี้ จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านทุกท่านนะครับ :)

Mobile > Face Time ใน iPhone 4

รีจีสเตอร์ใหม่ทุกครั้งเสียเงินทุกครั้ง

FaceTime คือบริการเรียกสายแบบเห็นหน้าค่าตากันด้วยวิดีโอ (video calling service) จากกล้องด้านหน้าบน iPhone 4 โดยการเรียกสายคู่สนทนาในรูปแบบวิดีโอทำให้เห็นหน้ากันได้นั้น เป็นการทำงานผ่านเครือข่าย WiFi ไม่ใช่เครือข่ายมือถือกันอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ดูแล้วก็ไม่น่ามีอะไร เพราะที่ไหนมี WiFi ก็น่าจะใช้ได้ แต่อย่างที่บอกไปแล้วข้างต้น ว่า FaceTime คือบริการ ดังนั้นก็ต้องมีการเปิดใช้งาน หรือก็คือ การรีจิสเตอร์นั่นเอง สำหรับการรีจิสเตอร์จะต้องรีจีสเตอร์กับโอปอเรเตอร์ที่ขายเครื่องไอโฟนให้ ซึ่งนั่นก็คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ iPhone ไม่สามารถวางขายหลายๆ ประเทศได้ทันที เพราะแอปเปิ้ลคงมีเงื่อนไขว่า "ให้โอปอเรเตอร์ที่ขายเครื่องไอโฟนติดตั้งและทดสอบเซิร์ฟเวอร์สำหรับรีจีสเตอร์ก่อน" ซึ่งแน่นนอนว่าสำหรับเครื่องหิ้วการรีจิสเตอร์นั้นจำเป็นที่จะต้องส่งค่าไปรีจีสเตอร์กับโอเปอร์เตอร์ที่คุณซื้อเครื่องมา ซึ่งถ้าใช้บริการกับโอเปอร์เตอร์ที่ซื้อเครื่องมานั้น ได้ข่าวว่าฟรี แต่ถ้าไม่ได้ใช้บริการของเขา ค่าบริการนี้เราก็ต้องออกเองครับ จะถูกจะแพงอันนี้ขึ้นอยู่กับโอปอเรเตอร์รายนั้นๆ กำหนด

ตรงนี้เองครับ ที่มาของปัญหาเรื่องสูบเงิน เพราะการรีจีสเตอร์นั้น จำเป็นต้องมีการส่งข้อมูล ถ้าทำเสร็จได้ครั้งเดียวก็จบไป แต่ถ้าไม่ iPhone 4 ก็จะพยายามส่งค่าไปรีจีสเตอร์เรื่อยครับ แน่นนอนว่าทุกครั้งที่ส่งค่าไป คุณก็ต้องจ่ายเงินทุกครั้งเช่นกัน แต่ใช่ว่ารีจีสตอร์ครั้งเดียวได้แล้วจะจบ ถ้าคุณเผลอไปทำอะไรดังต่อไปนี้ แล้วละก็คุณจะต้องรีจีสเตอร์ใหม่ทุกครั้ง

  • ปิดปุ่ม Facetime แล้วเปิดใหม่
  • Restore เครื่องหรือล้างเครื่องใหม่ (wipe)
  • เปลี่ยนซิมการ์ด
  • ไม่ได้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่รีจีสเตอร์เป็นเวลานาน

ดังนั้นพึงจำไว้ว่า รีจีสเตอร์ใหม่ทุกครั้งเสียเงินทุกครั้ง ส่วนถ้าใครไม่อยากรีจีสเตอร์ต้องผ่านโอปอเรเตอร์ก็คงต้องใช้ตัวช่วยอย่าง iPhoneDelivery ก็ได้เช่นกันครับ

วีดีโอสอนลงวินโดวส์วิสต้า (Windows Vista)

 

    คลิปวิดีโอสอนการติดตั้งวินโดวส์วิสต้าครับ ข้อดีของระบบปฏิบัติการวินโดวส์วิสต้า คือ มีกราฟฟิคที่สวยงามขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับวินโดวส์ XP การค้นหาไฟล์ได้ง่ายขึ้น มีลูกเล่นต่างๆเพิ่มมากขึ้น และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้นด้วยครับ แต่ทุกๆระบบปฏิบัติการก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีอย่างเดียว ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกติดตั้งระบบปฏิบัติการตัวไหน ก็ควรจะศึกษาข้อมูลและความต้องการของระบบให้ละเอียดก่อนนะครับ ต่อไปเรามาเริ่มดูวิดีโอสอนการติดตั้งกันเลยครับ